มันเริ่มมาจากเราเข้าไปอ่าน
บล็อกของม็อคเอสเค แล้วม็อคเอสเคก็แปะ link ไปยังเว็บไซท์ของ
วินทร์ เลียววาริณ กวีซีไรท์ 2 สมัยของไทย
เราได้ยินชื่อเขา และชื่องานของเขามานาน แต่เชื่อไหมว่า
เรา
ไ ม่ เ ค ย แตะหนังสือของเขาเลย
เพราะอะไรน่ะหรือ มันเป็นเหตุผลที่ไม่เข้าท่าเท่าไหร่ เราก็เพิ่งรู้เมื่อกี้นี่เองว่าเราคิดไม่เข้าท่า
มันเป็นเพราะความเอียงในหัวของเราเอง
ไม่ใช่เอียงซ้าย หรือเอียงขวา หรือทิศในทั้งนั้น แต่มันเป็นความโอนเอียงไปในทางลบจากคำร่ำลือ
บางก็ว่าอ่านหนังสือของวินทร์ไม่เห็นรู้เรื่องเลย บางก็ว่าอ่านรู้เรื่องแต่ไม่รู้ว่าต้องการสื่ออะไร บางก็ว่า.. อะไรไม่รู้จำไม่ได้แล้ว
เราก็เลยมีอคตินิดหน่อยว่า โห.. คนเหล่านั้นยังอ่านไม่รู้เรื่องแล้วตูจะอ่านรู้เรื่องไหมฟะ แล้วเราก็ไม่ค่อยชอบอ่านอะไรหนักหัวด้วย เลยตัดสินใจไม่อ่าน หลังจากที่เค้าดังมาหลายต่อหลายปีนัก
มาวันนี้ เราก็เกิดสงสัยว่าทำไมม็อคถึงขนาดต้องเอาเว็บของเค้ามาแปะไว้ที่บล็อกตนเลยล่ะหรือ เหมือนต้องการดูดให้คนอ่านต้องเข้าไปอ่านเว็บของวินทร์ด้วย
ก็เลยเข้าไปดู หน้าหลักของเค้าจะเป็นเขียนเหมือน blog นี่แหละ เราคิดว่านะ มีเรื่องใหม่บ่อยเหมือนกัน แล้วก็มีมุมทางซ้ายเป็น link ไปที่ต่างๆ มีตอบคำถาม หนังสือแนะนำ(วินทร์แนะนำหนังสือคนอื่น) สัมภาษณ์วินทร์ตามนิตยสารต่างๆ และที่สะดุดตาเราคือมุม "แทะหนังสือฟรี" หรืออ่านหนังสือฟรีนั่นเอง (ชอบของฟรีอยู่แว้วว) ไม่ดูไม่ได้ เราเลยเข้าไปดู เค้ามีให้อ่านเรื่องสั้นของเขาที่อยู่ในหนังสือต่างๆ ทั้งหนังสือรวมเรื่องสั้นที่ได้ซีไรท์ ทั้งคอลัมน์ในหนังสือพิมพ์ แหม..กวีซีไรท์ทั้งที ถ้าเราไม่เคยอ่านเลย เราคงอายลูกตอนลูกถาม และขี้เกียจตอบเจ้าหนูจำไมทั้งหลายด้วยว่าทำไมเราถึงไม่อ่าน (โห.. คิดไปไกลว่าลูกจะเป็นคนช่างซัก ตูยังไม่ได้ออกเรือนเลย) เราก็เลยขออ่านซักทีแล้วกัน
เอ๊ะ เค้าก็เขียนเข้าท่านี่หว่า อ่านรู้เรื่องด้วย
ปรากฎว่า ภายใน 6 ชั่วโมงเราอ่านไป 4 เรื่องสั้น แล้ว 6 ชั่วโมงนี้ก็ไม่ใช่ 6 ชั่วโมงที่ว่างจิบน้ำชา อ่านหนังสืออ่านเล่นด้วยนะ มันเป็น 6 ชั่วโมงที่เราต้องทำงานเพื่อไปคุยกับอาจารย์ในวันพรุ่ง (อืม รู้แล้วใช่ไหม ทำไม thesis เราไม่เสร็จซักกะที แหะๆ :P ไม่ได้อู้นะ เราอ่านตอนพักสายตาจากจอ => แล้วพักมาใช้สายตาทำอย่างอื่นเนี่ยนะ เวรกรรม)
เราว่าเค้าเขียนใช้ได้ทีเดียวแหละ มีข้อคิดแฝงและเด่นชัดทุกเรื่อง แต่เราคงต้องอ่านมากกว่านี้ เพื่อที่จะบอกว่าเราชอบหรือไม่ แต่จาก 4 เรื่องที่เราอ่านนี้ ทำให้เราตั้งใจที่จะหาหนังสือเค้ามาอ่านต่อ ณัฐเป็นเหยื่อเราคนแรก หุหุ เจ้าหล่อนบอกว่ามีเรื่องอาเพศกำสรวล เดี๋ยวจะส่งมาให้ ขอบคุณหลายๆเด้อเสี่ยว
พรุ่งนี้จะรีบทำงานให้เสร็จจะได้แทะหนังสือฟรีต่อ หุหุ
...
...
...
โอ้ว เกือบลืม ลืมทิ้งข้อคิดที่ได้จากเรื่องนี้ไว้ให้ คำพูดต่อไปนี้มัน Classic จริงๆ ใช้สอนหัวอันด้อยปัญญาของเราได้ดีเลย พ่อก็เคยพูดให้ฟัง แต่สงสัย buffer เรามัน overflow เลยทำให้ส่วนที่ควรจะเก็บเอาคำสอนของบุพพการีและปราชญ์ทั้งหลาย มันไหล ไหล ไหล ออกไปเที่ยวนอกกะโหลก
สิบปากว่า ไม่เท่าตาเห็น
สิบตาเห็น ไม่เท่ามือคลำ
สิบมือคลำ ไม่เท่าทำเองใช่ ทำเอง ทำเอง ทำเอง ทำเองสิ น้ำตาล ไม่ลองไม่รู้ นี่อะไรกัน เธอตายตั้งแต่ประโยคแรกแล้วอ่ะ ไม่ดี ไม่ดีเลยนะ แล้วยิ่งเป็นเรื่องที่ไปคิดในแง่ลบกับอย่างอื่นด้วย
ต้องฝึกคิด แล้วแก้นิสัยใหม่!!!
ปล. เราไม่ได้ว่าคนที่บอกเราว่าหนังสือของวินทร์อ่านไม่รู้เรื่องนะ เรื่องนี้เราว่าตัวเองที่ไปเชื่อคนอื่นโดยไม่คิดให้รอบคอบ เราแค่คิดว่าเรื่องบางเรื่องคนเรามีมาตรฐาน ความเข้าใจ ความชอบ และความรู้พื้นฐานต่างกัน ทำให้เราซึมซับและเห็นคุณค่า (ความจริงอยากได้คำว่า appreciate มากกว่า แต่ไม่รู้ว่าภาษาไทยตรงๆมันคือคำว่าอะไร) ของสิ่งต่างๆได้ต่างกัน ยิ่งเป็นศิลปะด้วยแล้ว เราไม่สามารถให้ทุกคนมีมาตรฐานของ "ความงาม" เดียวกันได้เลย เพราะฉะนั้นยิ่งน่าเขกหัวตัวเองที่ไปเชื่อคนอื่นอย่างง่ายดายอย่างนั้น โดยที่ยังไม่เคยได้สัมผัสกับศิลปะการเขียนชิ้นนั้นๆโดยตรง
เฮ้อ.. เซ็งตน